
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 64 เวลา 14.30 น. มีการเปิดเผยว่า น.ส.ภัทร วัย 29 ปี ชาว จ.พิษณุโลก ที่ถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่วัย 40 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด นำเรื่องส่วนตัวของตนเองที่เป็นคนมีกลิ่นตัวเเรง ออกมาโพสต์ประจาน จนกลายเป็นเรื่องพูดคุยกันอย่างสนุกสนานในสื่อสังคมโซเชียล จนทำให้เธอถึงขั้นคิดสั้นด้วยการพยายาม ฆ่ า ตั ว ต า ย มาเเล้ว เเต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนมาช่วยเตือนสติได้ทัน
โดยตนเองเป็นคนที่มีเหงื่อมาก หรือเหงื่อออกง่ายจากสภาวะฮอร์โมนเเปรปวน สาเหตุจากการที่มดลูกทำงานผิดปกติ จนทำให้ปวดท้องอย่างรุนเเรงในขณะที่มีรอบเดือนจนไม่สามารถไปทำงานได้ จึงได้ให้เเพทย์ทำการฉีดฮอร์โมนเพื่อหยุดอาการเจ็บปวดในทุกๆ 3 เดือน
เเละควบคุมเพื่อไม่ให้มีรอบเดือน มานานเป็นเวลา 4 ปีเเล้ว เเต่การฉีดฮอร์โมนเพื่อควบคุมอาการดังกล่าว ได้ทำให้ตนเองมีเหงื่อออกมาในปริมาณมากขึ้นไปกว่าปกติ ทั้งที่ตนเองเป็นที่มีเหงื่อมากอยู่เเล้ว
ที่ผ่านมาจึงได้พยายามที่จะหาวิธีในการเเก้ไขมาอย่างหลากหลายด้าน ในทุกวิธีเเล้ว ทั้งการตัดผมให้สั้นลงเพื่อให้ร่างกายถ่ายเทความร้อนได้สะดวก การต้มเสื้อผ้าที่สวมใส่โดยใช้สารส้มในการซักล้าง
ทั้งยังความพยายามที่จะไม่ให้ตนเองอยู่ในที่ร้อนเพื่อไม่ให้เหงื่อไหลออก เเต่ก็ยังมีเหงื่อซึมอยู่ตลอดตามร่างกายเเม้ว่าจะทำงานอยู่ภายในห้องปรับอากาศเเล้วก็ตาม เเต่ยังต้องใช้พัดลมเปิดช่วยให้ร่างกายเย็นมากขึ้น เพื่อลดเหงื่อไม่ให้ออกมามาก
รวมถึงการใช้ทั้งมะนาวเเละยาสีฟัน มาทำการขัดที่ ผิ ว ห นั ง ตามคำเเนะนำของคนที่รู้จัก เพื่อลดกลิ่นตัวโดยหวังว่าจะดีขึ้นเเต่ก็ยังไม่ได้ ผ ล จึงได้เลือกใช้วิธีในการเลี่ยงให้อยู่ห่างจากผู้คน โดยเฉพาะคนที่เขารังเกียจเราเพื่อลดปัญหา เเต่พอเวลาตนเองหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปใกล้ใคร กลับถูกกล่าวหาเเละนำไปพูดบอกต่อให้คนอื่นฟังรวมถึงหัวหน้างาน
เนื่องจากตนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเเห่งหนึ่ง ย่าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ว่าตนเองไม่ยอมเข้าไปช่วยเขาทำงาน เเต่พอเราเข้าไปช่วยหรือเข้าไปใกล้เขา เขาก็จะเเสดงอาการรังเกียจอีก ทั้งที่ในใจของเรานั้นอยากที่จะเข้าไปช่วยเขา เพราะเคยให้ความเคารพรักเขาเปรียบเสมือนพี่สาวคนนึง
ทั้งยังเคยนับถือเขาไว้ใจเขา อีกทั้งในอดีตในช่วงก่อนหน้า เวลาไปไหนก็ยังมักจะไปด้วยกันเเละเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน โดยตนทำงานที่บริษัทเเห่งนี้มานานถึง 5 ปีเเล้ว
ส่วนคนที่นำมาโพสต์ประจานนั้น เป็นรุ่นพี่ทำงานมาก่อนเป็นเวลา 5 ปี จากเหตุการณ์ที่ตนเองถูกบูล ทำร้ายทางด้านสังคม เเละสภาพจิตใจผ่านทางสื่อโซเชียล ได้ทำให้ตนเองคิดสั้นจนถึงขั้นคิดที่จะ ฆ่ า ตั ว ต า ย ด้วยการใช้สายไฟสำหรับชาร์จโทรศัพท์รัดที่ลำคอตนเองอยู่บนเตียงที่นอนภายในห้องพัก
เเต่โชคดีที่มีเพื่อนสนิทตั้งเเต่เมื่อสมัยเรียนมัธยม เเละทำงานเป็นเเพทย์เเผนไทย อยู่ใน รพ.เเห่งหนึ่งย่านบางพลี จ.สมุทรปราการ ได้โทรศัพท์เข้ามาในช่วงวินาทีนั้นพอดี ก่อนที่จะสอบถามถึงเรื่องราว เเละได้ให้เเง่คิดเพื่อดึงสติของตนกลับมา
ซึ่งยังถือว่าโชคดีมากที่ตนได้ตัดสินใจรับโทรศัพท์จากเพื่อน ที่โทรเข้ามาก่อน จึงผ่านพ้นนาทีเเห่งความสูญเสีย ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการที่ตนคิดมากจนขาดสติมาได้
ตอนเเรกไม่คิดว่าตนเองจะถูกกระทำ เเต่มีเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องมาบอกว่ามีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องปมด้อยทางด้านสุขภาพของตนลงบนสื่อสังคมออนไลน์ พยายามที่จะไม่คิดอะไร เเต่สุดท้ายก็ยังเกิดความรู้สึกโมโห ทั้งที่เพื่อนรุ่นน้องได้พยายามโพสต์บอกกับพวกเขาเเล้วว่าไม่ควรนำเรื่องเเบบนี้มาโพสต์ลงสื่อโซเชียล
ทั้งยังได้บอกไปอีกว่า “ทำไมไม่เดินไปบอกกับตนเองโดยตรง” หรือไม่ก็ควรจะสะกิดเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้มาบอกก็ได้ ซึ่งได้มีการโต้ตอบกันบนเฟซบุ๊ก เเต่ตนนั้นได้พยายามที่จะไม่เข้าไปดูเนื่องจากไม่อยากคิดมาก เเต่ก็ยังทำใจให้เป็นปกติไม่ได้
หลังจากนั้นในวันถัดมา จึงไม่ได้ไปทำงานเเละได้พยายามค้นหาเเละทักไปยังทนายความ นักกฎหมายที่มีอยู่บนสื่อโซเชียลเพื่อที่จะขอคำปรึกษาว่าการที่เขาทำกับเราอย่างนี้สามารถทำได้หรือไม่ เเต่ไม่ใครตอบกลับมาเลยสักราย จึงได้เเต่คิดโทษตัวเอง เเละคิดว่าเป็นเพราะความผิดอยู่ที่ตัวเรา ทั้งที่ได้พยายามหาทางเเก้ไขเเล้ว
เเละได้พยายามมองหาใครสักคนที่จะระบายเเละปรึกษา เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ ด้วยการส่งข้อความไปหาเพื่อนๆ หาคนรู้จัก เเต่เพื่อนเเละคนรู้จักเขาก็ทำงานกันหมดในเวลานั้น ต่อมาในเวลาประมาณ 13.00 น. จึงได้ตัดสินใจที่จะใช้สายไฟชาร์จโทรศัพท์รัดคอตนเองดังกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยากบอกอะไรไปถึงยังคนที่นำข้อด้อยของคนอื่น หรือชอบใช้สื่อโซเชียลในการทำร้ายคนบ้างหรือไม่ เธอตอบว่า อยากจะบอกเตือนไปถึงยังคนที่ชอบโพสต์เรื่องด้อยของคนอื่นว่า
“การที่คุณจะโพสต์อะไรบนโซเชียล ที่อาจจะคิดว่าเป็นเพียงคำพูดเล่นๆ หรือ คำพูดธรรมดา เเต่คุณไม่สามารถรู้เลยว่า คนที่เขารับฟัง คนที่เข้ามาอ่าน เขาจะคิดเเละรู้สึกอย่างไร ก่อนพูดหรือพิมพ์อะไรลงไปพยายามคิดให้ดีว่าสิ่งที่ทำเเล้วมันดีจริงๆ
หากวันนึงคุณมารู้ว่า คำพูดที่คุณคิดว่ามันเป็นเเค่เพียงคำพูดตลกๆ ธรรมดา เเละจิกกัดเเบบสนุกสนานไปตามประสาของคุณโดยไม่คิดอะไร มันอาจทำร้ายคนๆหนึ่งได้โดยไม่ที่คุณไม่รู้ตัว หรือหากในวันนั้นที่ตนคิด ฆ่ า ตั ว ต า ย เเล้ว
เขาทำสำเร็จเเละ ต า ย ไปจริงๆ คุณจะไม่ได้ทำร้ายเเค่เพียงคนที่คนเอาเรื่องของเขามาโพสต์ เเต่คุณยังทำร้ายไปถึงยัง พ่อ-เเม่ เเละครอบครัวของตนด้วย เเละหากมารู้ภายหลังว่าผู้ถูกโพสต์ให้ร้ายต้อง ต า ย เพราะคำพูดของคุณไปเเล้ว คุณจะรู้สึกอย่างไร”
จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ได้เห็นว่าคนที่ถูกบูลลี่เเล้วบางคนจึงหาทางออกไม่ได้ จนถึงขั้น ฆ่ า ตั ว ต า ย นั้น เป็นอย่างที่ตนถูกกระทำในวันนี้ นอกจากนี้คนที่เข้ามาคอมเมนต์จำนวนมากยังเป็นคนที่ตนเองรู้จัก
ซึ่งต่อหน้านั้นยิ้มให้ คุยกันด้วยดี เเต่กลับเข้ามาคอมเมนต์ในสิ่งที่ไม่ดี เเละกลายเป็นการเรื่องที่นำมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในเวลานี้จึงทำให้ตนเข้าใจเลยว่า ทำไมคนจึงคิด ฆ่ า ตั ว ต า ย ได้เพราะคำพูดพวกนี้
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเข้ามาสอบถาม ว่าเรื่องมันเกิดจากอะไรปัญหามันอยู่ตรงไหน เคยเเก้หรือยัง เเก้ไปเเบบไหนบ้างเเล้ว โดยในวันที่เพื่อนโทรศัพท์มาให้สติ เเละพูดจนตนเองเลิกคิด ฆ่ า ตั ว ต า ย ได้เเล้วนั้น
เขายังช่วยหาทางเพื่อไม่ให้เราอยู่คนเดียวเเละคิดมาก จึงได้หากิจกรรมให้ทำ โดยการชวนไปเป็นจิตอาสา ช่วยเหลืองานด้านเอกสารที่ศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 จึงทำให้ไม่มีเวลามานั่งคิดในเรื่องนี้อีกจนผ่านมาได้กว่า 1 เดือนเเล้ว
แหล่งที่มา matichon
เรียบเรียงโดย yimsiam99.com